เมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30ผิวหน้าของเราจะเริ่มเผชิญกับปัญหากับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงฝ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ บนใบหน้า โดยปกติแล้ว ฝ้าที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้จะมีลักษณะ เป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม กระจายอยู่บริเวณทั่วใบหน้า ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับประเภทของฝ้า ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาฝ้าแต่ละประเภทกัน ว่าจะมีวิธีการรับมืออย่างไรบ้าง
ฝ้าบนใบหน้า เกิดจากการสะสมของเม็ดสีหรือเมลาตินบนชั้นผิว ที่สะสมอยู่บนผิวหนังเป็นระยะเวลานานมาก หลังจากที่ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ซึ่งเมื่อเกิดการโดนแดด ผิวของเราจะทำการสร้างเมลาตินขึ้นมา เพื่อปกป้องผิว และเมื่อเกิดการสะสมบนชั้นผิวหนังมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ก็จะมีการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นกว่า
โดยปกติแล้วลักษณะของฝ้าจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ฝ้าลึก เป็นการสร้างเม็ดสีหรือเมลาตินบนชั้นผิวหนัง ที่ลงลึกเข้าไปจนถึงหนังแท้ มักมีลักษณะของเม็ดสีที่มากกว่าปกติ สังเกตุได้จากลักษณะที่อยู่บนฝ้าของหน้าชนิดนี้ จะมีลักษณะที่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีเทาอมม่วง มักจะกลืนไปกับผิวหน้าและเป็นวงกว้างบริเวณใบหน้า
ฝ้าตื้น เป็นลักษณะของการสร้างเม็ดสีบนชั้นหนังกำพร้า หรือผิวชั้นนอก มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ เห็นขอบชัดเจน สามารถรักษาได้ง่ายกว่าฝ้าลึก
ฝ้าผสม เป็นฝ้าที่มีลักษณะผสมกันอยู่ทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้น ผสมกันอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ซึ่งนอกจากนี้ยังมีฝ้าแดด ที่เกิดจากรังสียูวี และแสงแดด และฝ้าเลือดที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนและเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า ทำให้เกิดอาการผิวแดงง่ายเมื่อเจอแดดหรือความร้อนจากรังสียูวีได้ง่ายกว่าปกตินั่นเอง
การรักษาด้วยยาทา ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วยการใช้ยาเรตินนอยด์ หรือยาที่อยู่ในกรดวิตามินเอ ) ทรานีซามิก (Tranexamic acid)หรือไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)เพื่อช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง และทำให้ผิวขาวใสขึ้นอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ยารักษาในกลุ่มนี้ ก็มีผลข้างเคียงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้นควรใช้แค่ปริมาณพอเหมาะ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาในกลุ่มนี้
การรักษาฝ้าด้วยวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมี จะเหมาะสำหรับการรักษาฝ้าที่มีขนาดลึก ซึ่งจะสามารถทำได้โดยการใช้กรดไกลโคลลิก,กรดซาลิไซลิก และกรดไตรคลอโรอะเซติก ซึ่งวิธีการรักษาแบบนี้จะค่อนข้างเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ดังนั้นควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
นอกจากวิธีที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ก็สามารถรักษาฝ้า ได้ด้วยเทคโนโลยีการใช้แสงอย่างเลเซอร์ผิว หรือใช้เครื่อง IPL ในการรักษาฝ้าก็ได้เช่นกัน โดยการใช้เครื่อง IPL จะเป็นการรักษาฝ้า จะเป็นการใช้คลื่นความถี่ของผิวหนังในการทำลายเม็ดสีที่ฝังลึกอยู่บนผิว ให้สามารถกลับมาสว่างกระจ่างใสขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งการรักษาฝ้า ด้วยวิธีการใช้แสง IPLยังจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 2สัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 เดือน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการดูแลผิวหน้าได้ดีที่สุดนั่นเอง
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยคุ้นหูกับคำว่า IPL กันมาบ้างแล้ว โดยจะพบได้ทั่วไปตามคลินิกความงามต่างๆ โดยเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จริงๆ แล้ว คุณสมบัติของ IPL มีประโยชน์มากกว่าแค่การกำจัดขน และสามารถใช้เพื่อแก้ไขปัญหาผิวพรรณต่างๆ ได้อีกด้วย เมื่อสาวๆ หลายคนรู้จักว่าIPL คืออะไร แต่สาวๆ รู้ไหมคะว่า IPL มีประโยชน์อะไรต่อผิวพรรณของเราบ้าง ในบทความนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง